ก่อนเปลี่ยนถ่ายมาอยู่ภายใต้การกุมบังเหียนของ ราล์ฟ รังนิก เจ้านายคนใหม่ แมนฯ ยูไนเต็ด เก็บสามแต้มได้สำเร็จจากการเปิดบ้านคว่ำ อาร์เซน่อล ไปอย่างสุดเร้าใจด้วยสกอร์ 3-2
แม้จะถูกทีม ปืนโต บุกมายิงนำก่อน แต่สุดท้ายพลพรรค ผีแดง ร่วมแรงร่วมใจกันคว้าชัยชนะมอบแด่สาวก เร้ด อาร์มี่ ได้อย่างสวยหรู และนี่คือ 5 ประเด็นที่สมควรถูกพูดถึงในเกมที่ โรงละครอห่งความฝัน
1.ไมเคิ่ล คาร์ริค สอบผ่านฉลุยในฐานะกุนซือ
หลังได้นั่งเก้าอี้เป็นการชั่วคราวสืบแทน โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่โดนไล่ออก อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษเปิดตัวได้สวยในเกมพาทีมบุกไปคว่ำ บียาร์เรอัล 2-0 ทะยานเข้ารอบ 16 ทีมของถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ
และถัดมาในเกม พรีเมียร์ลีก ที่บุกไปเสมอกับ เชลซี 1-1 ผู้ช่วยอดีตเจ้านายชาวนอรเวย์ก็สมควรได้รับเครดิตเช่นกันเนื่องจากพาทีมบุกไปแชร์แต้มกับจ่าฝูงได้ แม้จะมีดราม่าดร็อป คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สตาร์ดังดาวซัลโวไปนั่งเป็นตัวสำรองอย่างน่าเซอร์ไพรส์
กระทั่งในเกมต้อนรับ อาร์เซน่อล คาร์ริค ก็ได้รับโอกาสให้คุมทีมทิ้งทวนเนื่องจาก ราล์ฟ รังนิก กุนซือคนใหม่คว้าเวิร์คเพอร์มิตได้ไม่ทันทำหน้าที่ในเกมนี้ และปรากฏว่าเขาทำหน้าที่ได้ดีเกินคาด พาทีมได้เฮแม้จะโดน อาร์เซน่อล บุกมากระซวกตาข่ายก่อนจนชวนให้แฟนบอล ผีแดง เสียวไส้ไปตามๆกัน
เท่ากับว่าจากสามเกมที่คุมทีมลงสนาม คาร์ริค ไม่ประสบกับความปราชัยเลยจากผลงานชนะสอง เสมอหนึ่ง
เอาเป็นว่าถ้าเจ้าตัวคิดเอาดีในฐานะผู้จัดการทีมเมื่อไหร่ ก็รับรองได้เลยว่าจะต้องมีหลายสโมสรกริ๊งกร๊างมาหาวันละสามเวลาหลังอาหารอย่างแน่นอน
2.เฟร็ด ลูกรักเบอร์หนึ่งของ คาร์ริค
ในเกมเสมอกับ เชลซี 1-1 คาร์ริค แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากองกลางแซมบ้าเป็นนักเตะคนโปรดหมายเลขหนึ่งของเขา
แม้พ่อค้าแข้ง เซเลเซา จะถูกแฟนบอล ผีแดง ยี้ใส่ แต่ผู้จัดการทีมขัดตาทัพยืนยันว่า เฟร็ด ถูกประเมินค่าต่ำเกินไป และที่สำคัญทั้งๆที่มีอาการบาดเจ็บในเกมกับ บียาร์เรอัล เขาก็กัดฟันล่นต่อจนจบซึ่งหากเป็นนักเตะใจเสาะคนอื่นอาจเดินออกขอเปลี่ยนตัวไปแล้ว และเหมือนจะเป็นอย่างที่ คาร์ริค ให้สัมภาษณ์เนื่องจากกองกลางทีมชาติบราซิลระเบิดฟอร์มในเกมชนะ อาร์เซน่อล ได้อย่างสุดยอด
แม้ตอนแรกจะทำให้ทีมเสียประตูเนื่องจากไปเหยียบข้อเท้า ดาบิด เด เคอา จนล้มเจ็บหมดสิทธิ์เซฟลูกยิงของ สมิธ โรว์ แต่เขาก็แก้ตัวได้เยี่ยมด้วยการตวัดบอลให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ซัดตีเสมอ 1-1
เท่านั้นไม่พอ เฟร็ด ซึ่งนัดนี้มีส่วนบุกขึ้นหน้าหลายจังหวะยังทำให้ทีมได้ลูกโทษอันเป็นประตูชัยคว่ำ อาร์เซน่อล ได้อีกด้วย
เท่ากับว่า คาร์ริค ตาแหลมไม่เบา และเขามีส่วนทำให้ลูกทีมรายนี้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกโขกระทั่งโชว์ฟอร์มเด็ดสะระตี่ออกมาให้เห็น
3. นัดที่ 100 ของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส
เกมดวลกับ อาร์เซน่อล เป็นการลงสนามนัดที่ 100 ของสตาร์เลือดฝอยทองพอดีต่อการสวมยูนิฟอร์ม เร้ด เดวิลส์ และเท่าที่ผ่านมา แฟร์นันด์ส สร้างชื่อเป็นนักเตะใน พรีเมียร์ลีก ที่มีส่วนกับการทำประตูมากที่สุดรวมทั้งสิ้น 78 ลูก
แน่นอนว่าซีซั่นนี้ อดีตขุนพลทีม สปอร์ติ้ง ลิสบอน ร่างเพลงเตะได้ไม่โดดเด่นเหมือนซีซั่นที่ผ่านมา แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ยิงประตู อาร์เซน่อล ได้สำเร็จ
พร้อมกันนี้ เขาก็เป็นนักเตะคนแรกที่คลำเป้าได้ในเกมที่ 100 ของตัวเองกับ ผีแดง นับตั้งแต่ที่ อันโตนิโอ วาเลนเซีย ทำสำเร็จในเกมบู๊กับ แบล็คเบิร์น เมื่อเดือนเม.ย.2012 อีกด้วย
4. ราล์ฟ รังนิก เผชิญกับความกดดันเต็มเปา
หลังจาก คาร์ริค คุมทีมได้แจ๋ว แถมประกาศอำลาตำแหน่งโค้ชทีมชุดใหญ่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วทันทีที่คุมทีมคว่ำ อาร์เซน่อล ลงได้ ความกดดันก็จะตกอยู่กับกุนซือคนใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะแน่นอนว่ามันจะต้องเกิดการเปรียบเทียบผลงานกันระหว่างผู้มาใหม่ และผู้ที่ก้าวลงจากตำแหน่งว่าใครจะคุมทีมได้ดีกว่ากัน
กระนั้นก็ดี โปรแกรมถัดไปของกุนซือชาวเยอรมันมองดูแล้วไม่หนักหนาสาหัสเท่าไหร่ และเขาน่าจะพาทีมไปได้สวยสมกับที่บอร์ด ผีแดง ให้ความไว้วางใจโดยเริ่มตั้งแต่การคุมทีมลงเล่นกับ คริสตัล พาเลซ ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในวันอาทิตย์นี้
จากนั้นก็ต่อด้วยเกมต้อนรับ ยังบอยส์ ในถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม , บุกไปเยือน นอริช และ เบรนท์ฟอร์ด ในเกม พรีเมียร์ลีก ก่อนกลับมาเปิดบ้านฟัดกับ ไบรท์ตัน ในเกม พรีเมียร์ลีก
จากห้าเกมที่ว่า หาก รังนิก สร้างผลงานได้ไม่เอาไหน เขาก็จะตกอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างไม่ต้องสงสัยหลังย้ายมาลิ้มรสชาติฟุตบอลอังกฤษเป็นครั้งแรกในชีวิต
5.โรนัลโด้ ขยันยิง ปืนโต
โรนัลโด้ เคยบู๊กับ อาร์เซน่อล มาก่อนหน้านี้ 15 นัดในทุกรายการในฐานะขุนพลทีม แมนฯ ยูไนเต็ด และเขาพาทีมคว้าชัยได้ 7 ครั้ง แพ้ 4 ครั้ง
พร้อมกันนี้ สตาร์โปรตุกีสยังพังประตูทีมจากลอนดอนได้ทั้งหมด 6 เม็ด บวกกับอีก 2 แอสซิสต์ซึ่งคิดค่าเฉลี่ยได้เป็นหนึ่งประตูในทุกๆสองนัดที่ได้ฟาดแข้งกับ อาร์เซน่อล และในที่สุด ซีอาร์เซเว่น ก็สอยตาข่าย เดอะ กันเนอร์ส ได้อีกตามเคย อีกทั้งมันเป็นประตูที่ 800 และ 801 ของเขาด้วยในการลงเล่นกับทั้งระดับสโมสรและทีมชาติ
ยิ่งไปกว่านั้น โรนัลโด้ ยังเป็นมนุษย์คนเดียวบนโลกใบนี้ที่ตะบันได้มากถึง 801 ประตูในการลงเล่นระดับสูงสุดมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มต้นค้าแข้ง
และขณะเดียวกัน โรนัลโด้ ยังแซงหน้า พอล สโคลส์ ไปแล้วสองประตูจากการเช็คบิลใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้เป็นลูกที่ 61 ในฐานะนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นรอง เวย์น รูนีย์ อันดับหนึ่งแค่คนเดียวจากจำนวน 101 ประตู
6. ปีทองของ เอมิล สมิธ โรว์
บอกได้เลยว่าปีนี้เป็นปีทองของ สมิธ โรว์ อย่างแท้จริง จากการลงเล่นในลีก 13 นัดของซีซั่นนี้ สมิธ โรว์ นับเป็นขุนพลของสโมสรที่มีส่วนกับประตูมากที่สุดทั้งซัดไปแล้ว 4 ลูก และแอสซิสต์อีก 2 ลูก
และในที่สุด เขาก็ซัดให้ทีมได้อีกเม็ดในเกมที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด แม้อาจทำให้ฝ่ายเจ้าบ้านไม่ปลื้มเท่าไหร่ก็ตามเนื่องจาก ดาบิด เด เคอา ล้มเจ็บอยู่พอดีจนหมดสิทธิ์เซฟ
พร้อมกันนี้ ต้องไม่ลืมว่าจากผลงานอันร้อนแรงของกองกลางวัย 21 ปีส่งผลให้ แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเรียกตัวเขาไปติดธงชุดใหญ่เรียบร้อยแล้ว และจากนี้ไป เจ้าตัวก็คงได้ลุ้นมีชื่อติดทีม สิงโตคำราม ชุดทำศึกฟุตบอลโลกด้วยหากว่ายังรักษาฟอร์มการเล่นได้อย่างฉูดฉาดไปจนจบซีซั่น
ขณะเดียวกัน สมิธ โรว์ ยังนับเป็นนักเตะ เดอะ กันเนอร์ส อายุน้อยที่สุดเป็นอันดับสองที่ยิงประตูใน พรีเมียร์ลีก ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้ในวัย 21 ปี 127 วันรองจาก นิโกล่าส์ อเนลก้า ที่ทำได้ในเดือนก.พ.1999 ขณะมีอายุ 19 ปี 340 วัน
จะน่าเสียดายอยู่ไม่น้อยก็ตรงที่หลังทำสกอร์ได้ เขาก็แทบไม่มีบทบาท ก่อนจะค่อยๆหายไปจากเกม และโดนเปลี่ยนออกในท้ายที่สุดให้ บูกาโย่ ซาก้า ลงไปเล่นแทนในช่วงที่ทีม ปืนใหญ่ โดน ผีแดง แซงนำ 3-2 ไปแล้ว