อาถรรพณ์ดวลจุดโทษ ของแสลงที่ยังตามหลอกหลอนทีมชาติอังกฤษทุกยุค

หลังสิ้นเสียงนกหวีดจาก บียอร์น ไคเปอร์ส ผู้ตัดสินชื่อดังจากแดนกังหันลม ก็เป็นอันว่า “It’s coming home” ที่ชาวอังกฤษวาดฝันเอาไว้ ตั้งแต่ช่วงต้นทัวร์นาเมนต์ ก็ต้องกลายเป็น “It’s coming Rome” ไปโดยปริยาย

จะว่าไป การพ่ายให้คู่แข่งในช่วงดวลจุดโทษชี้ขาด ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับทัพ “สิงโตคำราม” แต่อย่างใด เพราะเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานแล้ว นับตั้งแต่สมัยที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต ยังคงเป็นนักเตะอยู่ด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนว่าความโชคร้ายในประเด็นนี้ จะไม่ใช่สิ่งที่แข้งรุ่นหลัง อยากได้เป็นมรดกตกทอดสักเท่าไหร่นัก

จำเนียรกาลกลับไป เฉพาะในเกมระดับเมเจอร์ (ฟุตบอลโลก/ฟุตบอลยูโร/เนชันส์ลีก) ดูเหมือนว่าเทพีแห่งโชค จะไม่ค่อยเข้าข้างทีมชาติอังกฤษสักเท่าไร ในการดวลจุดโทษตัดสินชี้ขาด เพราะจาก 10 ครั้งล่าสุด อังกฤษเก็บชัยได้ไปเพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้น และแพ้ไปถึง 7 ครั้ง

โดยเฉพาะการวัดดวงกับคู่ปรับตัวฉกาจอย่าง เยอรมนี 2 ครั้ง, โปรตุเกส 2 ครั้ง, อิตาลี 2 ครั้ง รวมไปจนถึง “ฟ้าขาว” อาร์เจนตินา และ สเปน ทีมละ 1 ครั้ง สรุปได้คำเดียวว่า “พ่ายเรียบ!!”

ผลการแข่งขันที่เกิดขึ้น อาจจะโทษดวง หรือ เทพีแห่งโชค ก็สุดแล้วแต่ เพราะเรื่องของคนสองคน กับจุดกลมๆ 12 หลาหน้าปากประตู ไม่เคยมีทฤษฎีใดๆ มาอ้างอิงได้ว่า คุณควรยิงแบบนั้น แบบนี้ หรือนำเอาสถิติปลีกย่อยต่างๆ มาวิเคราะห์ได้ว่า ถ้าผู้รักษาประตูพุ่งไปทางนี้แล้วจะปัดได้ หรือนักเตะยิงไปในมุมนี้ แล้วตุงตาข่ายแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ เรื่องแบบนี้ไม่เคยมีในตรรกะวงการลูกหนัง

และด้วยประสบการณ์โดยตรงของ “แกเร็ธ เซาธ์เกต” ที่เคยกลายเป็นแพะรับบาปในศึกยูโร 1996 จนทำให้ทีมชาติอังกฤษกระเด็นตกรอบคาบ้าน ต้องหยุดเส้นทางลุ้นแชมป์เอาไว้เพียงแค่รอบตัดเชือก มันจึงกลายเป็นเหมือน “ปมในใจ” ของกุนซือวัย 50 ปี ที่ต้องลบรอยแผลนี้ให้หายไปโดยเร็วที่สุด

ถึงแม้จะมีอดีตกุนซือผู้เคยขี่หลังสิงห์อย่าง เกล็น ฮอดเดิล และ สเวน โกรัน อีริคส์สัน จะออกมาส่ายหน้าให้กับแนวคิดซ้อมยิงจุดโทษ พร้อมยืนยันว่า ในสนามซ้อมไม่สามารถจำลองสถานการณ์ และความกดดันเหมือนในสนามจริงได้ แต่ เซาธ์เกต ก็ยังมั่นใจว่า การซ้อมยิงจุดโทษในสนามซ้อม ถึงแม้จะไม่สามารถจำลองเหตุการณ์จริงได้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย และไปวัดดวงกันหน้างาน

ซึ่งหลังจากมีการซ้อมจุดโทษกันอย่างจริงจัง ส่งผลให้ฟอร์มในสนามดีขึ้นทันตา โดยเฉพาะการคว้าชัย 2 ครั้งติดต่อกัน ครั้งแรกคือในศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้ายที่รัสเซีย ที่เอาชนะ โคลอมเบีย ไปได้ 4-3 หลังเสมอในเวลา 1-1 จากนั้นเป็นการเอาชนะขุนพลจากแดน “นาฬิกา” สวิตเซอร์แลนด์ ในการชิงอันดับ 3 ยูฟ่า เนชันส์ลีก 2019 ซึ่งชนะไปด้วยสกอร์ 6-5 หลังเสมอกันในเวลา 0-0

และถ้ามองลึกในรายละเอียดจะเห็นว่า การเอาชนะคู่แข่งทั้ง 2 ครั้งที่กล่าวมา ทีมชาติอังกฤษยิงพลาดไปเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น จากการยิง 11 ครั้ง เรียกได้ว่าผลสัมฤทธิ์ดีขึ้นอย่างน่าตกใจ

หลังจากนั้น เซาธ์เกต เริ่มยกระดับขึ้นอีกครั้ง ด้วยการซ้อมยิงจุดโทษแบบเสมือนจริง ไล่ตั้งแต่การเริ่มเดินมาจากวงกลมกลางสนาม จนกระทั่งส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่าย แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่า ดวลเป้าในศึกยูโร 2020 จะไม่ขลังเหมือนแต่ก่อน เพราะเกมที่แพ้ให้กับอิตาลีในรอบชิงชนะเลิศ มีนักเตะของฝั่งอังกฤษยิงวืดไปถึง 3 รายด้วยกัน แถมทุกรายที่ยิงพลาด เป็นนักเตะวัยคะนองแทบทั้งนั้น

ถามว่าจุดเปลี่ยนในครั้งนี้คืออะไร? วิเคราะห์กันตามการวางหมากขุนพล ต้องบอกว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปคือหน่วยกล้าตายของ เซาธ์เกต เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีนักเตะอายุน้อยเกือบครึ่ง ซึ่งอาจจะมีปัญหาในเรื่องของการแบกรับความกดดัน ในวันที่ต้องเดิมพันคือแชมป์ทวีป

ไล่เรียงชื่อนักเตะชุดยิงจุดโทษ 2 ครั้งก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นแกนหลักของทีม และผู้เล่นที่มีประสบการณ์สูง ไล่ตั้งแต่ แฮร์รี เคน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, คีแรน ทริปเปียร์, เอริก ไดเออร์, รอสส์ บาร์คลีย์ รวมไปจนถึง ราฮีม สเตอร์ลิง ซึ่งนักเตะที่กล่าวมา ล้วนแต่ผ่านประสบการณ์ดวลเป้ามาแล้วอย่างโชกโชน

ขณะที่ชุดล่าสุด มีแค่ เคน, แรชฟอร์ด และ แม็คไกวร์ เท่านั้น ที่เคยผ่านประสบการณ์วัดใจ จนสามารถทนต่อความกดดันได้ ส่วน ซานโช เคยผ่านมาแค่ครั้งเดียวในระดับชาติ ขณะที่ บูกาโย ซากา ยังใหม่ใสปิ๊ง ดังนั้นหากจะเกิดความผิดพลาดขึ้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร

แน่นอนว่าหลังจบเกม แกเร็ธ เซาธ์เกต ได้ออกมาแสดงความเป็นผู้นำ ด้วยการแอ่นอกรับความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพราะการเลือกตัวในครั้งนี้ ไม่ใช่การชูมืออาสาของนักเตะเอง แต่เป็นการวางตัวจากมันสมองของกุนซือ โดยวัดประสิทธิภาพจากสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างการซ้อม เพื่อคลายข้อสงสัยของแฟนบอลว่า ทำไมจึงเลือกเปลี่ยนแข้งมากประสบการณ์ออก และส่งแข้งหน้าใหม่ลงมาดวลเป้าแทน

“มันเป็นเรื่องของกระบวนการที่เรายึดเป็นแนวทางมาตลอด เรามีการติดตามข้อมูล และสถิติของนักเตะ รวมถึงฟอร์มในสนามซ้อม มันเคยได้ผลมาแล้วในศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย รวมถึงฟุตบอลเนชันส์ลีก แต่แค่ว่าคืนนี้มันไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ” กุนซือทีมชาติอังกฤษ กล่าวหลังจบเกม

จากนี้ไปไม่รู้ว่า อาถรรพ์ความผิดหวังจากเส้น 12 หลา จะตามหลอกหลอนทีมชาติอังกฤษไปนานแค่ไหน และวลีเด็ด It’s coming home จากเพลง Three Lions (Football’s Coming Home) จะดังขึ้นอีกกี่ครั้งก็ตาม แต่ความเสียใจและผิดหวังในวันนี้ น่าจะช่วยสร้างประสบการณ์ ความแข็งแกร่งให้กับทัพสิงโตยังบลัด แกร่งขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน.