ลิเวอร์พูล มีคิวลงเล่นถ้วย คาราบาวคัพ รอบแปดทีมสุดท้ายเปิดบ้านต้อนรับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในวันพุธนี้
จากสถานการณ์ปัจจุบันของ หงส์แดง พวกเขาถูก แมนฯ ซิตี้ ทีมจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก ขยับหนีไปเป็นสามแต้มแล้วหลังจากเกมล่าสุด ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ บุกไปเสมอกับ สเปอร์ส 2-2
หลังจากเรียกร้องให้ลีกเมืองผู้ดีเลื่อนการฟาดแข้งในช่วงปลายปีออกไปเนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่ไม่เป็นผล เร้ด แมชีน จึงต้องลงเล่นกับ เดอะ ฟ็อกซ์ ของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส อดีตกุนซือของพวกเขาตามโปรแกรมโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้และนี่คือ 5 ข้อควรรู้ก่อนเกมฟุตบอลถ้วยใบเล็กที่ แอนฟิลด์
1. เลสเตอร์ อยู่ในช่วงฟอร์มตก
แม้จะมีศักดิ์ศรีเป็นแชมป์ เอฟเอคัพ แต่ระยะนี้เห็นได้ชัดว่า จิ้งจอกสยาม มีผลงานไม่สู้ดีเท่าที่ควร
เหตุผลหนึ่งย่อมหนีไม่พ้นอาการบาดเจ็บของนักเตะคีย์แมนทั้ง จอนนี่ อีแวนส์ , ยูริ ตีเลอมันส์ และ ฮาร์วีย์ บาร์นส์ ซึ่งล้วนลงบู๊ไม่ได้ และส่งผลให้ทีมต้องหล่นไปอยู่ในอันดับ 9 ของตาราง พรีเมียร์ลีก
จากต้นซีซั่นที่ถูกมองว่ามีโอกาสลุ้นคว้าอันดับท๊อปโฟร์ เลสเตอร์ กลับสร้างผลงานได้ไม่เข้าเป้า หนำซ้ำยังกระเด็นตกรอบถ้วย ยูโรปาลีก อีกต่างหาก
รวมสี่นัดหลังในทุกรายการ เดอะ ฟ็อกซ์ กำชัยได้แค่นัดเดียวเท่านั้นในเกมลีกนัดเปิดบ้านต้อน นิวคาสเซิ่ล สบายเกือก 4-0
ถึงอย่างนั้น ชัยชนะที่มีต่อทีมในโซนตกชั้นคงไม่ได้ทำให้ เลสเตอร์ แลดูมีความน่าเกรงขามมากขึ้นสักเท่าไหร่ และจากนั้นเป็นต้นมา ทีมของ บีร็อด ก็ไม่ได้ลงเล่นอีกเลยตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.เนื่องจากมีนักเตะติดเชื้อโควิด-19 หลายรายจนต้องเลื่อนเกม พรีเมียร์ลีก นัดดวลกับทั้ง สเปอร์ส และ เอฟเวอร์ตัน ออกไป
2. ซีซั่นที่น่าเป็นห่วงสำหรับ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
ต่อให้เกือบพา ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ซีซั่น 2013/14 ได้โดยมีแต้มน้อยกว่า แมนฯ ซิตี้ ทีมแชมป์แค่สองแต้มเท่านั้น ผู้จัดการทีมชาวไอร์แลนด์เหนือก็ไม่สู้จะได้รับเครดิตจากสาวก เดอะ ค็อป สักเท่าไหร่
สำหรับ เลสเตอร์ ซิตี้ ซีซั่นนี้นับเป็นซีซั่นที่สามแล้วในการคุมทีมลูกหนังแห่งถิ่น คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ของ ร็อดเจอร์ส ซึ่งชักไม่แน่ซะแล้วว่าจะเป็นซีซั่นสุดท้ายของเขากับสโมสรหรือเปล่าหลังเจ้าตัวถูกรัานรับพนันยกให้เป็นตัวเต็งในอันดับต้นๆที่จะตกเก้าอี้
ดังจะเห็นว่าจากที่ เลสเตอร์ เคยเป็นทีมที่มีเกมรุกดุดัน เด็ดขาด และฉับไวมากที่สุดทีมหนึ่งของ พรีเมียร์ลีก ถึงตอนนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว แถมเกมรับที่เปื่อยยุ่ยหนักขึ้นทุกทียังกลายมาเป็นปัญหาเพิ่มเติมของ สุนัขจิ้งจอก ไปพร้อมๆกันอีก
จาก 16 นัดในลีกที่เสียประตูไปแล้ว 27 ลูก มันจึงไม่ใช่ผลงานที่น่าประทับใจเลยสักนิดสำหรับอดีตนายใหญ่ เร้ด แมชีน
3. ขาดนักเตะตัวหลักไปเพียบด้วยกันทั้งสองทีม
อย่างที่ทราบกันว่าโควิด-19 กำลังระบาดอยู่ในเมืองผู้ดีอย่างหนัก และหลายสโมสรประสบกับปัญหามีผู้เล่นติดเชื้อหลายราย
สำหรับ เลสเตอร์ สื่อได้กะเก็งกันว่านักเตะที่มีผลตรวจเป็นบวกประกอบไปด้วย ยานนิค เวสเตอร์การ์ด , อโยเซ่ เปเรซ , อเดโมล่า ลุคแมน , เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ , ฟิลิป เบนโควิช , ฮัมซ่า ชูดฮูรี่ และ วอนเต เดลีย์ แคมป์เบลล์ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่ามีใครพ้นกำหนดการกักตัวแล้วหรือยัง
ขณะเดียวกัน ทีมของ บีร็อด ก็มีนักเตะล้มเจ็บอีกไม่น้อยทั้ง อีแวนส์ , ชักลาร์ โซยุนคู , เจมส์ จัสติน , เวสลีย์ โฟฟาน่า , นามปาลิส เมนดี้ และ ริคาร์โด้ เปเรยร่า
อย่างไรก็ดี ลิเวอร์พูล เองก็ประสบกับปัญหามีนักเตะติดเชื้อโควิด-19 สี่รายทั้ง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ , ฟาบินโญ่ , ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ เคอร์ติส โจนส์
ถึงกระนั้น ทั้งหมดจะกลับมาลงเล่นกับ เลสเตอร์ ได้ในเกมลีกที่ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม วันที่ 28 ธ.ค. ขณะที่ในรายของ ติอาโก้ จะลงบู๊ได้อย่างเร็วที่สุดนัดบุกไปเยือน เชลซี ในเกมลีกวันที่ 2 ม.ค.
นอกจากปัญหาของไวรัสแล้ว แน็ต ฟิลลิปส์ , ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ และ ดิว็อค โอริกี้ ก็เป็นอีกสามแข้งของ หงส์แดง ที่บาดเจ็บ ขณะที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซึ่งพลาดเกมลีกนัดบุกไปเสมอกับ สเปอร์ส 2-2 มีอาการป่วย ส่วน แอนดี้ โรเบิร์ตสัน จะติดโทษแบนสามนัดหลังได้ใบแดงในเกมบู๊กับ ไก่เดือยทอง
ฉะนั้นแล้วจึงเชื่อได้เลยว่าทั้งสองทีมจะใช้งานนักเตะชุดสำรองลงเล่นเช่นกันโดยไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย
4. ลีกคัพ ถ้วยโปรดของ ลิเวอร์พูล
หงส์แดง ได้แชมป์รายการนี้มาแล้ว 8 ครั้งซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดเทียบเท่ากับ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งครองความเป็นเจ้าของศึก คาราบาวคัพ อย่างชัดเจนในระยะหลัง
ย้อนเวลากลับไปในยุค 1980 เร้ด แมชีน ได้ชูถ้วยใบนี้ติดต่อกันถึงสี่ปีในซีซั่น1980/81 , 1981/82 , 1982/83 และ 1983/84 ก่อนจะต้องรอนานถึง 11 ปีกว่าจะประสบความสำเร็จอีกหนในปี 1995 ซึ่ง สตีฟ แม็คมานามาน เหมากดสองเม็ดพาทีมสยบ โบลตัน 2-1
จากนั้นในปี 2001 ถ้วยลีกคัพก็ถูกนำมาประดับตู้โชว์ของ แอนฟิลด์ อีกในปีที่สโมสรผงาดคว้าแชมป์ได้สามรายการ และในปี 2003 และ 2012 ก็เป็นอีกสองครั้งที่ ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จในถ้วยใบนี้
5. ผู้ตัดสินไม่ใช่ พอล เทียร์นีย์!
หลังเกมเสมอกับ สเปอร์ส 2-2 ในลีก เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน และแฟนบอล เร้ด แมชีน คงไม่อยากเห็นหน้าผู้ตัดสินที่ชื่อ พอล เทียร์นีย์ อีกต่อไป
และเป็นอันแน่นอนแล้วว่าท่านเปาที่จะทำหน้าที่เป่านกหวีดในเกมต้อนรับ เลสเตอร์ คือ แอนดรูว์ แมดลีย์
เท่าที่ผ่านมาในซีซั่นนี้ สิงห์เชิ้ตดำวัย 38 ปีได้ทำหน้าที่ในเกมที่ ลิเวอร์พูล ลงสนามหนึ่งครั้งซึ่งเป็นเกม พรีเมียร์ลีก ยำใหญ่ คริสตัล พาเลซ 3-0 ที่ แอนฟิลด์ เมื่อเดือนก.ย.
อย่างไรก็ดี หากนับรวมซีซั่นอื่น แมดลีย์ ได้ทำหน้าที่ในเกมของ หงส์แดง สองหนซึ่งพวกเขาชนะ ชรูว์สบิวรี่ 1-0 ในถ้วย เอฟเอคัพ รอบสี่นัดรีเพลย์ที่ แอนฟิลด์ ในซีซั่น 2019/20 และอีกเกมที่ แอนฟิลด์ เช่นกันโดย ลิเวอร์พูล ดวลลูกโทษตัดสินชนะ คาร์ไลส์ ในศึก ลีกคัพ รอบสาม