55 ปีแห่งความเจ็บปวด “อังกฤษ” จากแชมป์ฟุตบอลโลก 1966 สู่นัดชิง “ยูโร 2020”

ย้อนรอย 55 ปีแห่งความเจ็บปวด “ทีมชาติอังกฤษ” จากแชมป์ “ฟุตบอลโลก 1966” แชมป์ระดับเมเจอร์ครั้งแรกและครั้งเดียว สู่นัดชิงชนะเลิศ “ยูโร 2020”

ความสำเร็จครั้งดังกล่าวบนแผ่นดินบ้านเกิดของตัวเอง หลังจากที่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจาก สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ “ฟีฟ่า” เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1960 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีในการจัดมาตรฐานของฟุตบอลในอังกฤษ โดยพลพรรค “สิงโตคำราม” ทีมชาติอังกฤษ ในครั้งนั้น ภายใต้การนำทีมของ เซอร์ อัลฟ์ แรมซีย์ พร้อมกับผู้เล่น 22 คน ประกอบไปด้วย ผู้รักษาประตู 3 คน กอร์ดอน แบงค์ส, ปีเตอร์ โบเน็ตติ และ รอนนี สปริงเก็ตต์

ขณะที่กองหลัง ได้แก่ แจ็คกี ชาร์ลตัน, นอร์แมน ฮันเตอร์, เรย์ วิลสัน, จอร์จ โคเฮน, เจอร์รี เบิร์น, จิมมี อาร์มฟิลด์, เซอร์ บ็อบบี มัวร์ (กัปตันทีม) ส่วนกองกลาง ประกอบไปด้วย เซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน, อลัน บอลล์, มาร์ติน ปีเตอร์ส, น็อบบี สไตล์ส, รอน ฟลาวเวอร์ส, เอียน โรเบิร์ต คัลลาฮาน และกองหน้าอย่าง เซอร์ เจฟฟ์ เฮิร์สต์, โรเจอร์ ฮันต์, จิมมี กรีฟส์, เทอร์รี เพนน์, จอร์จ อีสแธม, จอห์น คอนเนลลี

คู่ต่อสู่ในรอบชิงชนะเลิศนั่นคือ ทีมชาติเยอรมนี (ตะวันตก) ที่ เซอร์ อัลฟ์ แรมซีย์ เลือกส่งตัวเด่นๆ อย่าง บ็อบบี มัวร์, แจ็คกี ชาร์ลตัน และ บ็อบบี ชาร์ลตัน รวมถึงดาวยิงตัวความหวัง เจฟฟ์ เฮิร์สต์ ส่วนคู่แข่งก็ไม่ใช่ย่อยเมื่อมี ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ รวมถึง ซิคกี เฮลด์ นำทัพ

เวลาปกติ 90 นาทีไม่มีทีมแพ้-ชนะ หลังจบลงด้วยสกอร์ 2-2 ซึ่งทางเจ้าภาพ ได้ 2 ประตูจาก เจฟฟ์ เฮิร์สต์ และ มาร์ติน ปีเตอร์ส ส่วน เยอรมนี (ตะวันตก) เป็นผลงานของ เฮลมุต ฮัลเลอร์ กับ โวล์ฟกัง เวเบอร์ ซึ่งนั่นทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาทีด้วยกัน

“ทรีไลออนส์” มาได้ประตูขึ้นนำ 3-2 ในนาทีที่ 101 เมื่อ เจฟฟ์ เฮิร์สต์ ยิงไปชนคาน บอลตกตรงเส้น แต่ผู้ตัดสินกลับเป่าให้เป็นประตู กลายเป็นดราม่าประวัติศาสตร์แห่งวงการฟุตบอลซึ่งยังหาข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนไม่ได้จนถึงทุกวันนี้

ก่อนที่สุดท้าย เจฟฟ์ เฮิร์สต์ จะมาซัดอีกประตูปิดกล่องเป็นแฮตทริกนาทีที่ 120 พร้อมกับส่ง “สิงโตคำราม” ทีมชาติอังกฤษ คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1966 ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ และเป็นความสำเร็จระดับเมเจอร์รายการแรกของพวกเขาอีกด้วย

แต่หลังจากนั้นนี่คือความสำเร็จเดียวหลังจากผ่านมา 55 ปี ใช้หัวหน้าผู้ฝึกสอนทุกคนทั้งรายที่รับงานแบบถาวร และแบบรักษาการ อย่าง โจ เมอร์เซอร์ (รักษาการ), ดอนนี เรวี, รอน กรีนวูด, ไบรอัน คลัฟ, เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน, เกรแฮม เทย์เลอร์, เทอร์รี เวนาเบิลส์, เกล็น ฮอดเดิล, ฮาวเวิร์ด วิลกินสัน (รักษาการ), เควิน คีแกน, ปีเตอร์ เทย์เลอร์ (รักษาการ), สเวน โกรัน อีริคส์สัน, สตีฟ แม็คคลาเรน, ฟาบิโอ คาเปลโล, สจวร์ต เพียร์ซ (รักษาการ), รอย ฮ็อดจ์สัน, แซม อัลลาร์ไดซ์ แต่ก็ไม่เคยมีใครพาทีมไปถึงฝั่งฝัน หรือใกล้เคียงกับความสำเร็จได้เลย

จากระยะเวลาที่ผ่านมา 55 ปี หลังได้แชมป์ฟุตบอลโลก 1966 “สิงโตคำราม” ทีมชาติอังกฤษ มีผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ 14 คน, ใช้นักเตะไปแล้วมากกว่า 300 คน, ลงเล่น 302 นัด คว้าชัยชนะ 180 นัด, ยิงได้ 604 เสีย 196 ประตู, พบกับทีมชาติโปแลนด์ มากสุด 18 นัด, เคยพบกับ ทีมชาติอิตาลี คู่แข่งในวันอาทิตย์นี้ 7 เกมอย่างเป็นทางการ โดยที่ 4 เกมในรายการใหญ่เป็นทางฝั่ง ขุนพลอัซซูรี คว้าชัยชนะได้ทั้งหมด และทั้งนี้ใช้ระยะทางในการเดินทาง 140,000 ไมล์ 52 ประเทศ

กระทั่งศึกฟุตบอล ยูโร 2020 ภายใต้การนำทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ที่ชื่อชั้นหรือดีกรีอาจไม่เทียบเท่ากุนซือคนก่อนๆ นั่นทำให้ตัวเขามักถูกค่อนขอดตั้งแง่ถึงความสามารถตลอดจนคำดูถูกสัพเพเหระต่างๆ ว่าเขาจะมีน้ำยาพา “สิงโตคำราม” ทีมชาติอังกฤษ ประสบความสำเร็จหรือไม่ 

แต่ตัวเขาก็ค่อยๆ ทำให้เห็นแล้วจากผลงานเข้ารอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2018 รัสเซีย ต่อเนื่องมาจนถึงศึกยูโรครั้งนี้ เขาสามารถลบล้างตราบาปที่เคยยิงจุดโทษไม่เข้าในยูโร 1996 รอบรองชนะเลิศจนต้องปราชัยให้กับ เยอรมนี ได้อย่างสง่างาม ด้วยการนำทีมชาติอังกฤษเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ พบกับ “อัซซูรี” ทีมชาติอิตาลี ทำให้มีโอกาสยุติ 55 ปีอันแสนเจ็บปวดหากท้ายที่สุดแล้วพวกเขาเป็นฝ่ายมีชัยในเกมนี้