คริสเตียน ฟุคส์ แบ็กซ้ายชุดแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2015/16 ประกาศอำลา เลสเตอร์ ซิตี้ หลังจบซีซั่นนี้
วันที่ 21 พ.ค. 64 คริสเตียน ฟุคส์ แบ็กซ้ายประสบการณ์สูงชาวออสเตรีย ประกาศอำลาสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ หลังจบฤดูกาล 2020/21 โดย ฟุคส์ เป็นหนึ่งในนักเตะคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จให้กับสโมสรมาตลอดระยะเวลา 6 ปี รวมถึงการพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และ เอฟเอ คัพ
แบ็กซ้ายวัย 35 ปี เป็นนักเตะคนสำคัญของ “จิ้งจอกสยาม” ตั้งแต่ย้ายจาก ชาลเก 04 มาร่วมทีมเลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อช่วงซัมเมอร์ปี 2015 โดยได้ลงสนามให้กับเลสเตอร์ ซิตี้ ถึง 152 นัด ในทุกการแข่งขัน และทำไป 3 ประตู
ฟุคส์ เป็นขวัญใจแฟนบอลจากผลงานในสนามของเขา และความทุ่มเท มีส่วนร่วมกับกิจกรรมของสโมสร นั่นหมายความว่าเขาจะยังคงเป็นที่รักของแฟนบอล และครอบครัวเลสเตอร์ ไปอีกนานหลังจากที่เขาอำลาสโมสร
อดีตกัปตันทีมชาติออสเตรีย เป็นตัวหลักในเกมรับของทีมในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015/16 ซึ่งจะอยู่ในความทรงจำของเหล่าแฟนบอลตลอดไป โดยเฉพาะการจ่ายบอลแบบ “โน ลุค พาส” ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา ที่ช่วยแอสซิสต์ประตูให้ เจมี วาร์ดี ยิงใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำลายสถิติยิงประตูติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลเดียวกัน
คริสเตียน ฟุคส์ ลงเล่นไป 32 นัดในฤดูกาล 2015/16 และเป็นนักเตะคนสำคัญในการพาทีมผ่านเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2016/17 โดยพ่าย แอตเลติโก มาริด ไป 1-2
ประตูแรกในพรีเมียร์ลีกของ ฟุคส์ เกิดขึ้นในเกมเปิดบ้านชนะ คริสตัล พาเลซ 3-1 เมื่อเดือนตุลาคม 2016
ฟุคส์ ทำผลงานให้กับทีมได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย และยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนานักเตะดาวรุ่ง นอกจากนี้ แข้งชาวออสเตรีย ยังเป็นขวัญใจของเหล่าแฟนบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ทั่วโลก ทั้งความเต็มใจที่จะมีส่วนร่วมกับเหล่าแฟนบอลนอกสนาม และการมีส่วนร่วมในโครงการต่างๆ ของชุมชน ในช่วงที่เขาอยู่กับทีม
คริสเตียน ฟุคส์ มีโอกาสได้คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ครั้งประวัติศาสตร์ของสโมสร ร่วมกับทีม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองที่น่าจดจำของนักเตะที่ได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดของเลสเตอร์ ซิตี้
คริสเตียน ฟุคส์ มีส่วนสำคัญกับความสำเร็จของเลสเตอร์ ซิตี้ ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา เขาจากไปด้วยความปรารถนาดีของทุกคนที่สโมสร
สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ขออวยพรให้เขาโชคดี และขอให้เขารับรู้ว่าเขาจะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นตลอดไปที่ “คิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม”