เควิน เดอ บรอยน์ เผยอดีตอันเจ็บปวดกับ เชลซี ที่ไม่เชิญเขาไปดูเกมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2012 ย้ำสนใจแต่เรื่องพา แมนฯ ซิตี้ ซิวแชมป์
วันที่ 28 พ.ค. 64 ความเคลื่อนไหวก่อนเกมยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ ที่สนามเอสตาดิโอ โด ดราเกา เมืองปอร์โต ประเทศโปรตุเกส ซึ่ง 2 ทีมหัวตารางพรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาเจอกันเอง ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมแชมป์ ปะทะกับ เชลซี อันดับ 4 ในวันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคมนี้ 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
หนึ่งในจุดเชื่อมโยงของคู่นี้ คือ เควิน เดอ บรอยน์ ที่เคยค้าแข้งกับทั้ง 2 สโมสร โดยจอมทัพทีมชาติเบลเยียมย้ายมาเล่นในเมืองผู้ดีครั้งแรกกับ เชลซี เมื่อเดือนมกราคม ปี 2012 แต่ถูกปล่อยกลับไปให้ เกงค์ ได้ยืมตัวจนจบฤดูกาลนั้น ซึ่งเป็นซีซั่นที่ “สิงโตน้ำเงินคราม” ดวลจุดโทษชนะ บาเยิร์น มิวนิก คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก สมัยแรกของสโมสร ก่อนย้ายจาก โวล์ฟสบวร์ก มาร่วมงานกับ “เรือใบสีฟ้า” ในปี 2015
อย่างไรก็ตาม เดอ บรอยน์ เปิดเผยล่าสุดกับ เดอะ ซัน ว่าเขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับเกมดังกล่าวแม้กระทั่งในฐานะผู้ชมเลย ทั้งที่เขาหมดภารกิจกับ เกงค์ ตั้งแต่รอบเพลย์ออฟของ จูปิแลร์ โปร ลีก (ลีกสูงสุดของเบลเยียม) ตั้งแต่เดือนเมษายน ก่อนที่จะไม่มีชื่อในช่วงท้าย เดือนพฤษภาคมปีนั้น แต่ เชลซี ก็ลืมเชิญเขาให้ไปชมเกมที่ อัลลิอันซ์ อารีนา สังเวียนนัดชิงชนะเลิศถ้วยใหญ่ของยุโรปอยู่ดี วันที่ 19 พฤษภาคม ปี 2012
เดอ บรอยน์ วัย 29 ปี ซึ่งดูเกมนั้นผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ที่บ้านเปิดใจว่า “ผมไม่ได้อยู่ที่สนาม เพราะผมไม่คิดว่าจะได้รับการเชิญ ถ้าจะให้พูดตามตรงก็คือผมจำอะไรแทบไม่ได้เลยเกี่ยวกับเกมนั้น บางครั้งผมก็จะเปิดดูเกม ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ บ้าง แต่บางครั้งก็ไม่ได้ดู ซึ่งมันก็แล้วแต่สถานการณ์ช่วงนั้น แต่ผมนึกถึงอะไรเกี่ยวกับเกมนั้นไม่ออกเลยจริงๆ”
ส่วนโอกาสพา แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์ยูซีแอล สมัยแรกของสโมสร และจะเป็นแชมป์ที่ 3 ในซีซั่นนี้ต่อจาก พรีเมียร์ลีก กับ คาราบาวคัพ (ลีกคัพ) “เคดีบี” ก็กล่าวว่า “ผมมีความรู้สึกอย่างเต็มเปี่ยมกับที่นี่ ซึ่งใครๆ ก็มักจะพูดถึงความล้มเหลวเมื่อไม่สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก แต่มันก็เป็นงานที่ยากพอสมควร”
“เราต่อสู้เพื่อสิ่งนี้มาตลอด 6 ปีหลังสุด แต่ก็มักจะไปจบที่รอบ 8 ทีมสุดท้าย หรือไม่เกินรอบรองชนะเลิศ แต่เมื่อลงเล่นในรอบน็อกเอาต์ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มักจะเป็นจุดเปลี่ยนของเกมเสมอ ซึ่งเรามักจะพลาดกันเองบ่อยครั้ง แต่ปีนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้ว เราเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในสถานการณ์ที่บีบคั้นและกำลังมาถูกทาง หวังว่าเราจะสมหวังเสียทีในปีนี้” เดอ บรอยน์ ทิ้งท้าย