“ชาริล ชัปปุยส์” กองกลางลูกครึ่งไทย-สวิสจากการท่าเรือ เอฟซี ผู้เคยคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกยู-17 เมื่อปี 2009 เปิดใจกับรายการ “Here Comes The Time” ถึงเพื่อนเก่าที่ก้าวไปติดทีมชาติชุดใหญ่ พร้อมกับเบื้องหลังความจริงที่ตัดสินใจปฏิเสธยูเวนตุส ทีมดังของอิตาลีมาแล้ว
มิดฟิลด์วัย 29 ปี เคยผนึกกำลังร่วมกับ กรานิต ชากา, ริคาร์โด โรดริเกซ และ ฮาริส เซเฟโรวิช ขุนพลแดนนาฬิกาชุดใหญ่ในปัจจุบัน เอาชนะเจ้าภาพ ไนจีเรีย 1-0 ซิวถ้วยบอลโลกชุดเล็ก ก่อนจะเดินทางมาเมืองไทยในปี 2013 เพื่อค้าแข้งกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, สุพรรณบุรี เอฟซี, เมืองทอง ยูไนเต็ด และ การท่าเรือ เอฟซี พร้อมกับติดทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี และชุดใหญ่ พร้อมกับคว้าแชมป์ ซีเกมส์ ปี 2013 และ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ปี 2014 กับ 2016
ชาริล ชัปปุยส์ เปิดใจผ่านรายการ “Here Comes The Time” ซึ่งทำการวิเคราะห์เกม และบอกเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับฟุตบอล ยูโร 2020 ที่ผลิตโดย Main Stand และออกอากาศผ่านเพจ Facebook “Thairath Sport – ไทยรัฐสปอร์ต” เวลา 19.00 น. ว่า “ผมเล่นให้กับ กราสส์ฮอปเปอร์ ซูริค ตั้งแต่อายุ 11-12 จนกระทั่งขึ้นทีมชุดใหญ่จนถึงปี 2012 และเคยติดทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งแต่รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี, 16 ปี, 17 ปี, 18 ปี, 19 ปี และ 20 ปี จนกระทั่งปี 2013 ผมถึงย้ายมาอยู่ บุรีรัมย์”
“ตอนที่เล่นฟุตบอลโลกยู-17 มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมนะ เพราะคุณต้องฝึกหนักทุกวันตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ เพื่อให้ก้าวไปถึงจุดนั้น เราใช้เวลาร่วมๆ เดือนในการโฟกัสไปที่ฟุตบอลอย่างเดียว เราซ้อม เราฝึกฝนตัวเองสำหรับทัวร์นาเมนต์ยาวๆ”
“มันเป็นประสบการณ์ที่ดี ตอนนั้นไนจีเรียเป็นเจ้าภาพ ค่อนข้างเข้มงวด เราได้แต่อยู่ในโรงแรมกับสนาม รอบข้างเรามีแต่ตำรวจ เพราะค่อนข้างอันตราย เลยออกไปไหนยากนิดหน่อย เราจึงไม่ค่อยได้เปิดหูเปิดตานัก เนื่องจากยังเด็กด้วย แต่ที่เป็นไฮไลต์เลยก็คือ เราเจอกับเจ้าภาพในนัดชิง ต่อหน้าแฟนบอล 60,000 คน มันเจ๋งมาก”
“จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของผมก็คือ ตอนอายุ 17 หลังจากคว้าแชมป์โลก ผมเซ็นสัญญาอาชีพกับกราสส์ฮอปเปอร์ฯ จากนั้นก็ได้รับความสนใจจาก ยูเวนตุส และ ฮัมบูร์ก รวมถึงอีกหลายทีม แต่ตอนนั้นผมยังเด็กและขี้อายเกินไป เลยไม่กล้าที่จะย้ายออกจากบ้านไปเล่นต่างประเทศ และปรับตัวกับภาษา วัฒนธรรมใหม่ๆ ผมเลยปฏิเสธไป”
“แต่ผมก็มีความสุขกับที่เป็นอยู่ทุกวันนี้นะ ผมรู้สึกภาคภูมิใจและแฮปปี้ที่อยู่ที่นี่ อีกทั้งยังได้เล่นให้กับทีมชาติไทย ซึ่งทำให้ผมภาคภูมิใจ ตอนนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม แต่ตอนนี้ผมอยู่กับปัจจุบัน”
“เพื่อนร่วมทีมในรุ่นยู-17 ตอนนั้นที่ก้าวขึ้นสู่ทีมชาติชุดใหญ่ก็มี กรานิต ชากา, ริคาร์โด โรดริเกซ และ ฮาริส เซเฟโรวิช แต่แน่นอนว่าผมก็มีเพื่อนสนิทคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน อย่าง เรโม ฟรอยเลอร์ แล้วก็ เซอร์ดาน ชากิรี ที่เคยเจอกันมาก่อน ก็ 4-5 คนในทีมชุดนี้”
“ผมดีใจกับพวกเขาด้วย พวกเขาสมควรได้รับการตอบแทนกับผลงานที่พวกเขาทำ ตอนที่ผมเล่นร่วมกับพวกเขา พวกเขาเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม ผมรู้ว่าทำไมเขาถึงก้าวไปอยู่จุดนั้นได้ จิตใจของพวกเขาแข็งแกร่ง เชื่อมั่นในตัวเอง พยายามทำผลงานให้ดีที่สุดในสนาม ไม่สนใจสิ่งยั่วยุรอบข้าง และค้นพบทางของตัวเอง ผมจึงแฮปปี้กับพวกเขา”
“ถ้าดูในทีมชุดนี้ พวกเขาก็เป็นทีมที่แข็งแกร่งนะ มีนักเตะฝีเท้าเยี่ยม นักเตะหลายคนเล่นในลีกต่างประเทศอย่าง บุนเดสลีกา พรีเมียร์ลีก อิตาลี แน่นอนว่านัดที่ผ่านมาไม่ใช่เกมที่ดีนัก (แพ้อิตาลี 0-3) แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่า อิตาลีฟอร์มดีมาก สำหรับผมคิดว่าพวกเขาเป็นม้ามืดในทัวร์นาเมนต์นี้ และน่าจะเข้ารอบลึกๆ ได้ ทีมชุดนี้มีส่วนผสมที่ดีระหว่างผู้เล่นตัวเก๋ากับดาวรุ่ง”
“แต่ตอนนี้สวิตเซอร์แลนด์ก็มีปัญหานอกสนาม แฟนบอลต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นรถหรูหรือทรงผม ยามเมื่อทีมแพ้ แต่ผมคิดว่าเราจะสามารถโฟกัสกับเกมได้อีกครั้ง ผมหวังว่าเราจะชนะตุรกีได้ พร้อมกับเข้าสู่ต่อไป ทุกๆ อย่างสามารถเป็นไปได้” ชัปปุยส์ กล่าวอย่างมีความหวัง
สำหรับรายการ Here Comes The Time : EURO 2020 ออกอากาศทุกวัน ทางเพจ Thairath Sport – ไทยรัฐสปอร์ต เวลา 19.00 – 20.00 น. โดยมี จิตกร ศรีคำเครือ พิธีกรในรายการ Footballista ทางช่อง Youtube Mainstand TH และ ภัคจิรา จิระวัฒนะภัณฑ์ เจ้าของเพจ Facebook “ดูบอลแบบแฟร์แฟร์” เป็นผู้ดำเนินรายการ ร่วมกับ ไมเคิล เบิร์น อดีตนักเตะทีมชาติเวลส์ ชุดเยาวชน ผู้เคยเล่นในไทยลีกกับ ชลบุรี เอฟซี และ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด.