สโมสรในพรีเมียร์ลีก รวมถึงทุกระดับในอังกฤษ อาจปรับโครงสร้างใหม่ โดยให้แฟนบอลเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นร่วมกับผู้บริหาร ตามรอย บุนเดสลีกา เยอรมันวันที่ 23 เม.ย. 64 บีบีซี สปอร์ต สื่อชั้นนำของเมืองผู้ดีรายงานว่า รัฐบาลอังกฤษเตรียมเสนอแผนปฏิรูปการบริหารของบรรดาสโมสรฟุตบอลอาชีพทั่วประเทศ ในด้านความเป็นเจ้าของ, การเงิน และการมีส่วนร่วมของแฟนบอล หลังเกิดดราม่าที่ 6 ทีมใหญ่ของศึกพรีเมียร์ลีก ประกอบด้วย ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, อาร์เซนอล, สเปอร์ส และ เชลซี ไปร่วมโปรเจกต์ “ยูโรเปียน ซูเปอร์ลีก” เพื่อสร้างการแข่งขันรายการใหม่ขึ้นมาทั้งนี้ กลุ่ม “บิ๊กซิกซ์” ได้เข้าไปเป็น 12 ทีมแกนนำของ “ยูโรเปียน ซูเปอร์ลีก” ซึ่งจะแยกตัวออกไปจัดการแข่งขันกันเองแทนการเข้าร่วม ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก และ ยูโรปาลีก ของ สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เนื่องจากยังไม่พอใจตัวเลขผลประโยชน์ในปัจจุบัน หลังเจอวิกฤติโควิด-19 ก่อนถูกกระแสต่อต้านอย่างหนักจนต้องยอมถอนตัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดสัปดาห์นี้ทำให้ล่าสุด ไนเจล ฮัดเดิลสตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกีฬาออกมาเปิดเผยว่าจะมีการทบทวนเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารสโมสรลูกหนังโดยให้แฟนบอลเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นแผนดังกล่าวได้มีการมอบหมายให้เทรซีย์ เคราช์สมาชิกรัฐสภาเป็นประธานการตรวจสอบและรายงานข้อเสนอแนะกลับไปยังรัฐบาลรวมถึงสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ)ซึ่งจะดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อความยั่งยืนของวงการฟุตบอล, ความสามารถในการแข่งขัน และที่สำคัญที่สุดคือความผูกพันที่สโมสรมีต่อแฟนบอลและชุมชนท้องถิ่นรายงานระบุว่า
วงการฟุตบอลอังกฤษอาจพิจารณานำรูปแบบการบริหารของสโมสรในประเทศเยอรมนี ที่เรียกว่า “กฎ 50+1” มาใช้ ซึ่งกำหนดให้แฟนบอลต้องเป็นเจ้าของสโมสร ด้วยการถือหุ้นอย่างน้อย 51 เปอร์เซ็นต์ และห้ามมีผู้บริหารคนใดคนหนึ่งถือหุ้นมากกว่า 49 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเป็นการรับประกันว่าสโมสรจะไม่อยู่ในเงื้อมมือของนายทุนที่จะเข้ามาเทคโอเวอร์ และนำสโมสรไปดำเนินธุรกิจตามใจชอบ